
วิธีสร้างภูมิคุ้มกันต้านไวรัส Covid-19 สำหรับผู้สูงอายุและผู้มีโรคประจำตัว
โรคปอดเป็นโรคที่พบได้บ่อยในประเทศไทย และยังเป็น 1 ใน 5 อันดับของโรคสำคัญที่ทำให้เกิดการสูญเสียทางทรัพยากรสุขภาพไปมากมาย โดยโรคปอดนั้นจะมีแบ่งเป็นโรคปอดที่ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อ เช่น โรคหืด ถุงลมโป่งพอง และโรคปอดติดเชื้อ ซึ่งที่สำคัญก็คือ ปอดอักเสบ และวัณโรค ส่วนที่กำลังเป็นที่จับตาและเป็นกังวลกันอยู่มากในขณะนี้ คือ “โรคปอดอักเสบจากเชื้อ COVID-19” ครับ เพราะเป็นสาเหตุทำให้ผู้ติดเชื้อ COVID-19 ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงนั้นมีโอกาสเสียชีวิตสูงมาก
กลุ่มผู้ป่วย COVID-19 ที่มีโอกาสเสียชีวิตสูง
ถ้าติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (COVID-19) กลุ่มคนที่จะมีโอกาสเสียชีวิตมากกว่าปกติ ได้แก่ ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว และอาจรวมถึงเพศชายด้วย โดยพบว่าผู้ป่วยโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคถุงลมโป่งพอง หรือมีปัญหาเกี่ยวกับการหายใจ จะมีโอกาสเสียชีวิตมากกว่าคนปกติอย่างน้อย 5 เท่า ! (อัตราการเสียชีวิตในผู้สูงอายุในจีนสูงกว่าคนวัยกลางคนถึง 10 เท่า)
การเสียชีวิตของผู้ป่วย COVID-19 ส่วนใหญ่จะมาจากการที่ผู้ป่วยมีอาการปอดอักเสบ เพราะในปอดมีถุงลมที่จะถูกแทนที่ด้วยสารที่เกิดจากการอักเสบขึ้นมา ซึ่งถ้าเป็นในคนปกติเวลาหายใจลมจะผ่านเข้าไปในระบบเส้นเลือดแล้วมีการแลกเปลี่ยนอากาศทางระบบถุงลมกับเส้นเลือดได้ แต่เมื่อมีการอักเสบเกิดขึ้น เซลล์ที่อักเสบจะกลายเป็นตัวกั้นทำให้ลมและออกซิเจนไม่สามารถผ่านเข้าได้จนเป็นเหตุทำให้เสียชีวิต
นอกจากการติดเชื้อ COVID-19 จะสร้างความเสียหายให้กับปอดเป็นส่วนใหญ่แล้ว ยังมีอวัยวะอื่น ๆ ที่ถูกทำลายไปได้ด้วยและเป็นเหตุทำให้เสียชีวิต โดยเฉพาะที่หัวใจ เพราะจากงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์ JAMA Cardiology ระบุว่าผู้ป่วยโรค COVID-19 ในเมืองอู่ฮั่นของจีนในเมืองอู่ฮั่นของจีนที่หัวใจได้รับความเสียหายมีมากถึง 1 ใน 5 ของผู้ป่วยทั้งหมดที่เกิดภาวะหัวใจล้มเหลวหรือกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันหลายคน ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้มีประวัติอาการของโรคหัวใจมาก่อน ซึ่งแพทย์สันนิษฐานว่า หัวใจล้มเหลวเพราะทำงานหนักจากการสูบฉีดเลือดให้ร่างกายที่ขาดออกซิเจน หรืออาจเกิดจากเชื้อไวรัสเข้าไปทำลายเซลล์หัวใจโดยตรง หรือภูมิคุ้มกันร่างกายเกิดปฏิกิริยาต้านไวรัสอย่างรุนแรงจนไปทำลายเซลล์หัวใจเสียเอง
แต่มีสารอาหารอยู่ชนิดหนึ่งที่อาจช่วยเสริมภูมิต้านทานในผู้สูงอายุและผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงที่มีโรคเรื้อรังนี้ได้ครับ นั่นก็คือ “น้ำมันปลา” เพราะในน้ำมันปลามีกรดไขมันกลุ่มโอเมก้า-3 อย่าง DHA และ EPA ที่มีคุณสมบัติต้านการอักเสบต่าง ๆ ช่วยบำรุงสุขภาพหัวใจ ลดระดับไขมันในเลือดชนิดไตรกลีเซอร์ไรด์ ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคทางระบบหลอดเลือดและหัวใจ ลดความดันโลหิต บำรุงเซลล์สมอง ประสาท และจอประสาทตา และอาจช่วยป้องกันภาวะซึมเศร้าและโรคที่เกี่ยวกับความจำหรืออัลไซเมอร์ได้ด้วย
ประโยชน์ของน้ำมันปลาด้านอื่น ๆ
เนื่องจากน้ำมันปลามีโอเมก้า-3 ที่มีความสำคัญต่อการทำงานของระบบต่าง ๆ ในร่างกาย จึงเชื่อกันว่าการบริโภคน้ำมันปลาอาจมีประโยชน์ต่อสุขภาพในหลากหลายด้าน โดยนอกจากจะมีฤทธิ์ต้านการอักเสบดังที่กล่าวไปแล้ว น้ำมันปลายังมีประโยชน์ในด้านอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงอีกด้วย เช่น
- บำรุงสุขภาพหัวใจ การบริโภคน้ำมันปลาอาจช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ ช่วยเพิ่มระดับคอเลสเตอรอลชนิดดีในร่างกาย ลดระดับไตรกลีเซอไรด์ และช่วยลดความดันโลหิต
- รักษาภาวะหรืออาการทางจิตใจ มีงานวิจัยที่ชี้ว่าการบริโภคน้ำมันปลาอาจช่วยป้องกันภาวะผิดปกติทางจิตใจบางอย่าง และอาจช่วยบรรเทาอาการของโรคไบโพลาร์และโรคจิตเภทได้ด้วย
- ลดน้ำหนัก งานวิจัยบางชิ้นระบุว่าการบริโภคน้ำมันปลาควบคู่ไปกับการออกกำลังกายและควบคุมอาหารสามารถช่วยให้ลดน้ำหนักได้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ ภาวะอ้วนเป็นภาวะที่อาจทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ โรคเบาหวานชนิดที่ 2 และโรคมะเร็ง ซึ่งการบริโภคน้ำมันปลาอาจช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจในผู้ป่วยภาวะอ้วนได้ด้วย
- ประโยชน์อื่น ๆ นอกจากประโยชน์หลัก ๆ ที่กล่าวมาแล้ว น้ำมันปลายังมีประโยชน์ต่อสุขภาพในด้านอื่น ๆ อีกด้วย เช่น ช่วยลดการสะสมไขมันในตับ บรรเทาอาการของโรคซึมเศร้าและโรคสมาธิสั้นในเด็ก ช่วยบำรุงผิวหนัง บำรุงสายตา บำรุงกระดูก อีกทั้งยังช่วยเสริมสร้างสุขภาพครรภ์ในหญิงตั้งครรภ์ได้อีกด้วย
-
คำแนะนำในการเสริมภูมิของผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยง
นอกจากการรับประทานน้ำมันปลาเสริมเพื่อเสริมภูมิคุ้มกันแล้ว ผู้สูงอายุและผู้ที่มีโรคประจำตัวยังต้องปฏิบัติตามคำแนะนำดังต่อไปนี้เพื่อให้ภูมิร่างกายแข็งแรงด้วย
- ควบคุมโรคประจำตัวให้ดี มีข้อมูลระบุว่าโรคที่ทำให้ภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง เช่น โรคเบาหวานเรื้อรัง รวมถึงกลุ่มผู้ป่วยที่มีปัญหาโรคอ้วน มีความเสี่ยงที่จะเจ็บป่วยรุนแรงจากการติดเชื้อ COVID-19 มากกว่ากลุ่มอื่น ๆ
- รับวัคซีนตามช่วงอายุ โดยเฉพาะวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่และวัคซีนป้องกันโรคปอดอักเสบ เนื่องจากพบว่าผู้ป่วยที่มีภาวะปออดอักเสบจากการติดเชื้อ COVID-19 จะสามารถมีการติดเชื้อไวรัสและเชื้อแบคทีเรียตัวอื่นแทรกซ้อนด้วย ซึ่งอาจส่งผลให้อาการปอดอักเสบของผู้ป่วยแย่ลงกว่าเดิม
- ออกกำลังกายเบา ๆ ทุกวัน อย่างน้อยวันละ 30 นาที อาจจะด้วยการเดิน ปั่นจักรยานอยู่กับที่ แอร์โรคบิคแบบที่ไม่มีการกระแทกข้อต่อ เล่นโยคะ รำไทเก๊ก ฯลฯ และควรนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพออย่างน้อยคืนละ 7-9 ชั่วโมง
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์และปรุงสุกใหม่เสมอ รับประทานผักผลไม้หลากสีที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ลดการบริโภคไขมัน น้ำตาล อาหารแปรรูปและเนื้อสัตว์ติดมัน หรือคุณอาจปรึกษาแพทย์เพื่อรับวิตามินหรืออาหารเสริมเพิ่มเติม ทั้งนี้ก็เพื่อช่วยเสริมระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้สามารถต่อสู้กับเชื้อไวรัสได้ดีขึ้น
- ลดความเครียด ด้วยการหากิจกรรมที่ผ่อนคลายและสนุกสนานทำ เพราะความเครียดเรื้อรังจะส่งผลทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง
- เลิกสูบบุหรี่ เพราะสารพิษในบุหรี่จะทำลายเนื้อเยื่อปอด ทำให้ปอดอ่อนแอลงและเสี่ยงต่อการติดเชื้ออมากขึ้น หากมีการติดเชื้อ COVID-19 ก็จะเป็นการเพิ่มความเสี่ยงการเกิดปอดอักเสบรุนแรงและระบบทางเดินหายใจล้มเหลวเฉียบพลันได้
- รับประทานอาหารเสริม นอกจากอาหารเสริมอย่างน้ำมันปลาแล้ว ยังมีอาหารเสริมอื่น ๆ ที่มีฤทธิ์เสริมภูมิต้านทานได้ด้วย แม้หลาย ๆ ตัวจะยังไม่มีการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับโรค COVID-19 มากนัก แต่ก็พบเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ดี มีฤทธิ์กระตุ้นภูมิคุ้มกัน ยับยั้งการติดเชื้อไวรัสก่อโรค ต้านการอักเสบ และอาจช่วยลดระยะเวลาและความรุนแรงของโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสได้