
โรคหอบหืด – สาเหตุ, อาการ, วิธีป้องกัน
โรคหืด
โรคหืด (ภาษาอังกฤษ : Asthma) หรือที่คนทั่วไปมักเรียกว่า “โรคหอบหืด” คือ โรคที่เกิดจากการหดตัวหรือตีบแคบของระบบทางเดินหายใจเป็นครั้งคราว ทำให้ผู้ป่วยมีอาการหายใจหอบเหนื่อยเป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรัง แต่ส่วนมากจะไม่มีอันตรายร้ายแรง ยกเว้นในรายที่เป็นมากหรือไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง ก็อาจทำให้เกิดภาวะทางเดินหายใจอุดกั้นถาวรหรือทำเป็นอันตรายถึงขั้นทำให้เสียชีวิตได้
โรคหอบหืดเป็นโรคทางเดินหายใจเรื้อรังชนิดหนึ่ง (ไม่ใช่โรคติดต่อ) ที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตและการใช้ชีวิตของผู้ป่วยเป็นอย่างมาก เช่น ในเด็กทำให้เกิดการพัฒนาช้า เรียนและทำงานได้ไม่เต็มที่ ไม่สามารถทำกิจวัตรประจำวันหรือเล่นกีฬาได้อย่างเป็นปกติ ยิ่งเมื่อสภาพอากาศเกิดการแปรปรวนหรือมีมลภาวะเป็นพิษมากเท่าไหร่ ผู้ป่วยยิ่งได้รับผลกระทบในการดำเนินชีวิตมากขึ้นและส่งผลอันตรายถึงชีวิตได้ ดังนั้น ผู้ป่วยจึงควรหมั่นสังเกตตัวเองและเตรียมพร้อมรับมือกับอาการกำเริบที่อาจเกิดขึ้นและรับการรักษาอย่างถูกต้องต่อไป
รคนี้เป็นโรคที่พบได้บ่อยและมีโอกาสเกิดได้ทั้งกับเด็กและผู้ใหญ่ แต่มีความชุกสูงสุดอยู่ที่ช่วงอายุ 10-12 ปี ในวัยเด็กจะพบในเด็กชายได้มากกว่าเด็กหญิงประมาณ 1.5-2 เท่า ส่วนใหญ่มักมีอาการเกิดขึ้นครั้งแรกตั้งแต่อายุก่อน 5 ปี มีส่วนน้อยที่เกิดอาการขึ้นครั้งแรกในวัยหนุ่มสาวและวัยสูงอายุ
ในบ้านเราโรคนี้เป็นโรคที่พบได้บ่อย และคาดว่าจะมีผู้ป่วยไม่น้อยกว่า 3 ล้านคน โดยพบในเด็กมากถึง 10-12% ของเด็กทั้งหมด ส่วนในผู้ใหญ่พบได้ประมาณ 6.9% (เคยมีการสำรวจนักเรียนในกรุงเทพมหานคร พบว่ามีความชุกของโรคนี้อยู่มากถึง 4-13%) และทั่วโลกพบว่าโรคนี้มีแนวโน้มเกิดมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตเมืองที่มีสิ่งแวดล้อมที่เป็นมลพิษและสารก่อภูมิแพ้ รวมถึงวิถีชีวิตที่ส่งเสริมให้เกิดโรคนี้
ข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุขพบว่า มีผู้ป่วยเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลเนื่องจากโรคหอบหืดเพิ่มขึ้นทุกปี ตั้งแต่ 66,679 คนในปี พ.ศ.2538 เป็น 102,273 คนในปี พ.ศ.2552 ส่วนผู้เสียชีวิตจาก 806 คนในปี พ.ศ.2540 ก็เพิ่มขึ้นเป็น 1,697 คนในปี พ.ศ.2546 ด้วยเช่นกัน (องกรณ์อนามัยโลก (WHO) ได้ระบุว่ามีจำนวนผู้ป่วยที่เสียชีวิตจากโรคหอบหืดทั่วโลกสูงมากกว่า 300 ล้านคน)
สาเหตุของโรคหอบหืด
โรคนี้เกิดจากปัจจัยร่วมกันหลายประการ ทั้งทางด้านกรรมพันธุ์ ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย การติดเชื้อ และสิ่งแวดล้อม ส่งผลให้มีการอักเสบเรื้อรังของหลอดเลือด ทำให้หลอดลมมีความไวต่อสิ่งเร้าต่าง ๆ ได้มากกว่าคนปกติจนเป็นเหตุทำให้เกิดการหดเกร็งของกล้ามเนื้อหลอดลม เกิดการบวมของเนื้อเยื่อผนังหลอดลม และมีเสมหะมากในหลอดลม จึงมีผลโดยรวมคือทำให้หลอดลมตีบแคบลงเกิดภาวะทางเดินหายใจอุดกั้นชนิดผันกลับได้ (Revesible) ซึ่งสามารถกลับคืนเป็นปกติได้เองหรือภายหลังจากการใช้ยา
ผู้ป่วยบางรายอาจมีการอักเสบของหลอดลมอย่างต่อเนื่องนานเป็นแรมปี หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง โครงสร้างของหลอดลมจะค่อย ๆ เกิดการเปลี่ยนแปลงจนในที่สุดมีความผิดปกติ (Airway remodeling) ชนิดไม่ผันกลับ (Irreversible) ทำให้เกิดภาวะทางเดินหายใจอุดกั้นอย่างถาวร
ผู้ป่วยมักมีประวัติเป็นโรคภูมิแพ้อื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น จมูกอักเสบจากภูมิแพ้ ผิวหนังจากภูมิแพ้ และมักมีพ่อแม่ปู่ย่าตายายหรือญาติพี่น้องเป็นหืดหรือโรคภูมิแพ้อื่น ๆ นอกจากนี้ยังพบปัจจัยที่ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคนี้ได้มากขึ้นด้วย ได้แก่ ทารกที่มีมารดาสูบบุหรี่ในขณะตั้งครรภ์, ทารกที่คลอดก่อนกำหนดหรือมีน้ำหนักตัวแรกเกิดน้อย, การสัมผัสสารก่อภูมิแพ้ในปริมาณมากตั้งแต่ในช่วงขวบปีแรก, เด็กที่อาศัยในบ้านที่พ่อหรือแม่สูบบุหรี่, การติดเชื้อไวรัสตั้งแต่เล็ก ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งไวรัสอาร์เอสวี เป็นต้น
สาเหตุกระตุ้นให้อาการหอบหืดกำเริบ
ผู้ป่วยมักมีอาการกำเริบเมื่อมีสิ่งเร้าหรือสาเหตุกระตุ้น ซึ่งที่พบบ่อยได้แก่
- สารก่อภูมิแพ้ เช่น ละอองหญ้า วัชพืช ละอองเกสรดอกไม้ ไรฝุ่นในบ้าน (พบตามพรม ที่นอน เฟอร์นิเจอร์หรือของเล่นที่ทำด้วยนุ่นหรือที่เป็นขน ๆ) สปอร์เชื้อรา (พบสปอร์ตามพุ่มไม้ ในสวน ห้องน้ำ ห้องครัว หรือตามที่ชื้น ๆ) แมลงสาบ สัตว์เลี้ยงในบ้าน (สารก่อภูมิแพ้มักจะอยู่ตามน้ำลาย ขนสัตว์อย่างสุนัขและแมว ขุยหนังที่ลอกหรือรังแค ปัสสาวะและมูลสัตว์) อาหาร (ได้แก่ นมวัวและผลิตภัณฑ์จากนมวัว กุ้ง หอย ปู ปลา ไข่ ถั่วลิสง งา สารกันบูดในอาหาร สีผสมอาหาร) สารในกลุ่มซัลไฟต์ (Sulfites) และสารที่เจือปนในอาหารหรือเครื่องดื่มบางชนิด (เช่น ผลไม้แห้ง ไวน์ เบียร์)
- สิ่งระคายเคือง เช่น ควันบุหรี่ ควันธูป ควันไฟ ควันท่อไอเสีย ฝุ่นละออง มลพิษในอากาศ (ก๊าซที่เกิดจากการเผาไหม้ของรถยนต์ ก๊าซโอโซนที่พบมากในเมืองใหญ่ ๆ) ยาฆ่าแมลงหรือวัชพืช สเปรย์แต่งผม กลิ่นสี กลิ่นฉุน ๆ สารเคมีภายในบ้านหรือที่ทำงานและโรงงาน รวมถึงอากาศเย็นหรืออากาศเปลี่ยน
- การติดเชื้อของทางเดินหายใจ เช่น ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ ไซนัสอักเสบ ทอนซิลอักเสบ หลอดลมอักเสบ หลอดลมฝอยอักเสบ
- โรคกรดไหลย้อน เพราะน้ำย่อยหรือกรดที่ไหลย้อนลงไปในหลอดลมอาจทำให้โรคหอบหืดกำเริบได้บ่อยและรุนแรงขึ้น
- ฮอร์โมนเพศ เพราะพบว่าหญิงระยะเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ ระยะก่อนมีประจำเดือน หรือในขณะตั้งครรภ์ (ในช่วงสัปดาห์ที่ 24-36 ของการตั้งครรภ์) มักจะมีโรคหอบหืดกำเริบ
- ยา ได้แก่ ยาแอสไพริน (Aspirin), ยาลดความดันโลหิตกลุ่มปิดกั้นเบต้า (เช่น ยาโปรปาโนโลล (Propanolol)), ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs)
- ความเครียดทางจิตใจ เช่น ความเครียดจากการงาน ครอบครัว ปัญหาทางเศรษฐกิจ ความโศกเศร้าจากการสูญเสียคนรัก รวมทั้งอารมณ์ซึมเศร้า เป็นต้น ซึ่งส่งผลให้หายใจผิดปกติโดยไม่รู้ตัว ทำให้หายใจแบบลึกบ้างตื้นบ้างสลับไปมา เพราะจะส่งผลให้เยื่อบุทางเดินหายใจแห้ง หายใจลำบาก และอาการกำเริบได้ง่ายขึ้น
- การออกกำลังกายหรือออกแรงในการทำกิจกรรมต่าง ๆ รวมทั้งการหัวเราะมาก ๆ อาจชักนำให้เกิดอาการหอบหืดกำเริบได้ในผู้ป่วยบางราย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรายที่ออกกำลังจนเหนื่อยหรือหักโหมมากเกินไป หรือออกกำลังกายในที่ที่มีอากาศแห้งและเย็น
- การสัมผัสความร้อนความเย็น เช่น การรับประทานไอศกรีมหรือเข้าห้องแอร์
อาการของโรคหอบหืด
ผู้ป่วยมักมีอาการแน่นอึดอัดในหน้าอก หรือหอบเหนื่อยร่วมกับหายใจมีเสียงดังวี้ดคล้ายเสียงนกหวีด (ในระยะแรกจะได้ยินเสียงนี้ในขณะที่หายใจออก แต่ถ้าเป็นมากขึ้นก็จะได้ยินทั้งในขณะที่หายใจเข้าและหายใจออก) อาจมีอาการไอ ซึ่งมักมีเสมหะใสร่วมด้วย
บางรายอาจมีเพียงอาการแน่นอึดอัดในหน้าอกหรือไอเป็นหลัก โดยไม่มีอาการอื่น ๆ ชัดเจนก็ได้ถ้าหลอดลมไม่ตีบมากนัก อาการไอจะดูคล้ายไข้หวัด จมูกอักเสบจากภูมิแพ้ หรือหลอดลมอักเสบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะแรกเริ่มของโรคนี้ ผู้ป่วยอาจมีอาการไอมากในตอนกลางคืนหรือตอนเช้ามืด ในช่วงอากาศเย็นหรืออากาศเปลี่ยน หรือวิ่งเล่นมาก ๆ ในเด็กเล็กอาจไอมากจนอาเจียนออกมาเป็นเสมหะเหนียว ๆ และรู้สึกสบายหลังได้อาเจียน
ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการภูมิแพ้ เช่น คัดจมูก คันคอ เป็นหวัด จาม หรือมีผื่นคันร่วมด้วย หรือเคยมีประวัติเป็นโรคภูมิแพ้มาก่อน
ในช่วงที่ไม่มีอาการกำเริบ ผู้ป่วยจะรู้สึกสบายเช่นคนปกติทั่วไป ในรายที่เป็นเพียงเล็กน้อยถึงปานกลางมักจะมีอาการเกิดขึ้นเป็นครั้งคราวและอาการมักกำเริบขึ้นมาทันทีเมื่อมีสาเหตุมากระตุ้น (ผู้ป่วยที่มีอาการหายใจลำบากจะลุกขั้นมานั่งฟุบกับโต๊ะหรือพนักเก้าอี้และหอบตัวโยน) ส่วนในรายเป็นที่รุนแรงมักจะมีอาการต่อเนื่องตลอดทั้งวันจนกว่าจะได้ยารักษา จึงจะรู้สึกหายใจโล่งสบายขึ้น
ผู้ป่วยบางรายที่เป็นโรคหอบหืดรุนแรง เช่น เคยหอบรุนแรงจนต้องไปรักษาที่ห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลบ่อย เคยต้องใส่ท่อหายใจช่วยชีวิต ต้องใช้ยาสเตียรอยด์ชนิดกินหรือฉีด หรือต้องใช้ยากระตุ้นเบต้า 2 ชนิดออกฤทธิ์สั้น สูดมากกว่าเดือนละ 1-2 หลอด ถ้าขาดการรักษาหรือได้รับยาไม่เพียงพอในการควบคุมอาการ ผู้ป่วยอาจมีอาการหอบอย่างต่อเนื่องเป็นชั่วโมง ๆ ถึงเป็นวัน ๆ แม้จะใช้ยารักษาตามปกติที่เคยใช้ก็ไม่ได้ผล เรียกว่า “ภาวะหืดดื้อ” หรือ “ภาวะหืดต่อเนื่อง” (Status asthmaticus) ผู้ป่วยจะมีอาการหายใจลำบาก ทำให้ร่างกายขาดออกซิเจนและมีการคั่งของคาร์บอนไดออกไซด์ เกิดภาวะเลือดเป็นกรด มีอาการสับสน หมดสติ ในที่สุดก็จะหยุดหายใจและหัวใจหยุดเต้น เสียชีวิตในเวลาอันรวดเร็ว
การรักษาโรคหอบหืด
เมื่อมีอาการต้องสงสัยดังกล่าวก็ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและวางแผนการรักษาที่เหมาะสม เมื่อไปพบแพทย์สิ่งที่แพทย์จะให้การดูแลรักษาก็คือ
1. เมื่อมีอาการหอบหืดกำเริบฉับพลัน ให้สูดยากระตุ้นเบต้า 2 ทันที แต่ถ้าไม่มียาชนิดสูดแพทย์จะฉีดยากระตุ้นเบต้า 2 เข้าใต้ผิวหนังแทน ถ้าอาการของผู้ป่วยยังไม่ทุเลาแพทย์จะให้ยาสูดหรือยาฉีดดังกล่าวซ้ำได้อีก 1-2 ครั้ง ทุก 20 นาที เพราะสิ่งสำคัญอย่างแรกคือการรักษาและควบคุมโรคให้ทันและเร็วที่สุดเมื่อมีอาการ หากผู้ป่วยรู้สึกหายดีแล้ว แพทย์จะทำการประเมินอาการ สาเหตุกระตุ้น และประวัติการรักษาของผู้ป่วยรายนั้นอย่างละเอียด โดยแบ่งเป็น 2 กรณี คือ
- ในกรณีที่ผู้ป่วยเพิ่งมีอาการครั้งแรกและไม่เคยได้รับยารักษามาก่อน แพทย์จะเริ่มให้การรักษาขั้นที่ 2 และถ้ามีอาการรุนแรงจะเริ่มให้การรักษาขั้นที่ 3 ดังตารางด้านล่าง และแพทย์จะส่งตรวจสมรรถภาพปอด ให้สุขศึกษาและคำแนะนำในการปฏิบัติตัวต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการหลีกเลี่ยงสาเหตุกระตุ้นต่าง ๆ และวิธีการใช้ยาที่ถูกต้อง แล้วแพทย์จะติดตามผู้ป่วยทุก 1-3 เดือน เพื่อประเมินอาการและปรับเปลี่ยนขั้นตอนการรักษาที่เหมาะสมต่อไป
2. ถ้าผู้ป่วยมีอาการกำเริบและมีลักษณะตามข้อใดข้อหนึ่งต่อไปนี้ ควรรีบนำตัวผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลโดยเร็ว ซึ่งแพทย์มักจะรับตัวผู้ป่วยไว้รักษาในโรงพยาบาล (ส่วนในรายที่มีสาเหตุไม่ชัดเจน อาจต้องมีการตรวจพิเศษต่าง ๆ เพิ่มเติม)
- ผู้ป่วยไม่ตอบสนองต่อการรักษาข้างต้นภายใน 1-2 ชั่วโมง มีอาการหอบต่อเนื่องมานานหลายชั่วโมงหรือมีภาวะขาดน้ำร่วมด้วย
- ผู้ป่วยมีอาการหอบรุนแรง ซี่โครงบุ๋ม ปากเขียว มีอาการสับสน ซึม หรือพูดไม่เป็นประโยค
- ผู้ป่วยมีอาการหายใจหอบเหนื่อยเมื่อทำกิจกรรมที่ใช้แรงเพียงเล็กน้อย
- ผู้ป่วยเคยมีประวัติเป็นโรคหอบหืดรุนแรง เคยรับการรักษาในห้องไอซียูเนื่องจากโรคหอบหืดมาก่อน กำลังกินยาหรือเพิ่งหยุดกินยาสเตียรอยด์ หรือใช้ยากระตุ้นเบต้า 2 ชนิดออกฤทธิ์สั้นสูดบ่อยกว่าทุก 3-4 ชั่วโมง
- ผู้ป่วยมีอาการหอบเหนื่อยที่สงสัยว่าจะเกิดจากสาเหตุร้ายแรงอื่น ๆ เช่น มีอาการเจ็บหน้าอกรุนแรง มีประวัติเป็นโรคหัวใจ หรือสงสัยว่าเป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจตาย, มีอาการเท้าบวม หลอดเลือดคอโป่ง ความดันโลหิตสูง หรือสงสัยว่ามีภาวะหัวใจวาย, มีไข้หรือสงสัยว่าเป็นปอดอักเสบหรือหลอดลมฝอยอักเสบ
3.ในผู้ป่วยที่แพทย์วินิจฉัยว่าเป็นโรคหอบหืดกำเริบรุนแรงหรือภาวะหืดต่อเนื่อง แพทย์จะมีแนวทางในการรักษาดังนี้ (เมื่อควบคุมอาการได้แล้ว แพทย์จะนัดติดตามดูอาการภายใน 2-4 สัปดาห์)
- ให้ออกซิเจนและน้ำเกลือ
- ให้ยาขยายหลอดลม ได้แก่ ยาสูดกระตุ้นเบต้า 2 ชนิดออกฤทธิ์สั้น สูด 2-4 หน (Puff) ทุก 20 นาทีในชั่วโมงแรก ต่อไปสูดอีก 2-4 หน ทุก 3-4 ชั่วโมง สำหรับผู้ป่วยที่เป็นรุนแรงเล็กน้อย (มีอาการหอบเหนื่อยเวลาเดิน ยังสามารถนอนราบและพูดเป็นประโยคได้ มีเสียงวี้ดขนาดปานกลางเฉพาะช่วงที่หายใจออก) หรือ 6-10 หน ทุก 1-2 ชั่วโมง สำหรับผู้ป่วยที่เป็นรุนแรงปานกลาง (มีอาการหอบเหนื่อยเวลาพูด มักอยู่ในท่านั่ง พูดได้เพียงเป็นวลี กระสับกระส่าย มีเสียงวี้ดดัง) ถึงรุนแรงมาก (มีอาการหอบเหนื่อยขณะพักและนั่งค้อมตัวไปข้างหน้า พูดได้เพียงเป็นคำ ๆ กระสับกระส่าย มีเสียงวี้ดดัง)
- ให้ยาสูดสเตียรอยด์ในขนาดสูงกว่าเดิม
- ในผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงปานกลางและมากแพทย์จะให้ยาสเตียรอยด์ชนิดฉีดหรือกิน โดยอาจให้ยาเมทิลเพรดนิโซโลน (Methylprednisolone) 40-60 มิลลิกรัม (ในเด็กให้ในขนาด 1 มิลลิกรัม/กิโลกรัม) ฉีดเข้าหลอดเลือดดำทุก 6 ชั่วโมง หรือในรายที่กินได้ แพทย์จะให้กินยาเพรดนิโซโลน 40-60 มิลลิกรัม (ในเด็กให้ในขนาด 1-2 มิลลิกรัม/กิโลกรัม/วัน) วันละ 1 ครั้ง เมื่ออาการดีขึ้นแล้ว (ซึ่งมักจะได้ผลภายใน 36-48 ชั่วโมง) ก็ให้กินยาเพรดนิโซโลนต่อไปจนครบ 5 วัน
- ในผู้ป่วยที่หอบหืดรุนแรงจนเกิดภาวะทางเดินหายใจล้มเหลว อาจจำเป็นต้องใส่ท่อหายใจและเครื่องช่วยหายใจและแก้ไขภาวะผิดปกติต่าง ๆ ไปพร้อมกัน
4. ผู้ป่วยที่เป็นโรคหอบหืดทุกราย แพทย์จะพิจารณาให้การรักษาระยะยาวเพื่อควบคุมอาการให้น้อยลง ป้องกันอาการกำเริบรุนแรงเฉียบพลัน ฟื้นฟูสมรรถภาพของปอดให้กลับคืนสู่ปกติ ป้องกันภาวะแทรกซ้อน ป้องกันการเกิดภาวะทางเดินหายใจอุดกั้นอย่างถาวร โดยจะมีแนวทางในการดูแลรักษา
- ประเมินความรุนแรงของโรค โดยพิจารณาจากอาการแสดงร่วมกับการตรวจสมรรถภาพปอด เพราะว่าหลอดลมที่ตีบไม่มากผู้ป่วยจะไม่มีอาการ ผู้ป่วยจะมีอาการก็ต่อเมื่อหลอดลมตีบมากแล้ว ดังนั้น ถ้ารอดูแต่อาการแสดงอย่างเดียวจะทำให้เราประเมินโรคได้ต่ำและให้การรักษาได้ต่ำกว่าที่ควร (ผู้ป่วยอาจหาซื้อเครื่องวัดความเร็วสูงสุดของลมที่เป่าออกหรือพีคโฟลว์มิเตอร์มาใช้ด้วยก็ได้ (ประมาณ 800 บาท) เพราะจะช่วยทำให้ประเมินโรคได้ดีมากขึ้น)
- ให้หลีกเลี่ยงสิ่งเร้าหรือสาเหตุกระตุ้น พร้อมกับปฏิบัติตัวตามคำแนะนำในหัวข้อ “คำแนะนำและข้อควรปฏิบัติสำหรับผู้ป่วยโรคหอบหืด”
- ให้ยารักษาโรคหอบหืด ซึ่งยาที่ใช้รักษาโรคหอบหืดนั้นจะแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่
- ยาบรรเทาอาการ (Relievers) แพทย์จะนิยมให้ยาสูดกระตุ้นเบต้า 2 ชนิดออกฤทธิ์สั้น (ยาพ่นขยายหลอดลมชนิดเบต้า 2) เช่น เวนโทลิน (Ventolin), บริคคานิล (Bricanyl) หรือเม็บติน (Meptin) ซึ่งเป็นยาที่มีผลทำให้กล้ามเนื้อเรียบในหลอดลมคลายตัว ออกฤทธิ์ขยายหลอดลมได้เร็ว และมีผลข้างเคียงน้อยกว่าชนิดกินและชนิดฉีด (ผลข้างเคียงของยากลุ่มนี้คืออาจทำให้ใจสั่นมือสั่นได้บ้าง) โดยจะให้ใช้สูดเฉพาะเมื่อมีอาการและให้ซ้ำได้เมื่ออาการกำเริบ แต่ไม่ควรเกินวันละ 3-4 ครั้ง (ในรายที่สูดไม่ได้ อาจใช้ยากินกระตุ้นเบต้า 2 ชนิดออกฤทธิ์สั้น หรือใช้ยากินทีโอฟิลลีนชนิดออกฤทธิ์สั้นแทน ส่วนยาฉีดกระตุ้นเบต้า 2 นั้นจะใช้เฉพาะเมื่อมีอาการรุนแรงเฉียบพลัน) แต่ในกรณีที่ใช้ยาสูดชนิดนี้เพียงอย่างเดียวแล้วยังไม่ได้ผลเต็มที่ แพทย์อาจให้ยาขยายหลอดลมกลุ่มแอนติโคลิเนอร์จิก (Anticholinergic) ได้แก่ ยาสูดไอพราโทรเพียมโบรไมด์ (Ipratropium bromide) แทน หรือใช้ร่วมกันเพื่อช่วยเสริมให้ควบคุมอาการได้ดีขึ้น
- ยาควบคุมโรค (Controllers) เป็นยาที่ใช้กับผู้ป่วยขั้นที่ 2-5 โดยจะเป็นยาที่มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ลดการอักเสบการบวมของผนังบุหลอดลม และถือเป็นยาหลักในการรักษาโรคหอดหืดเรื้อรัง เพราะเมื่อหลอดลมอักเสบดีขึ้น หลอดลมก็จะไม่ไวต่อสิ่งกระตุ้น เมื่อใช้อย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานจึงช่วยควบคุมโรคและลดการกำเริบของโรคได้เป็นอย่างดี ยากลุ่มนี้ได้แก่
- ยาสูดหรือยาพ่นสเตียรอยด์ (Inhaled corticosteroid) เช่น บีโคลเมทาโซนไดโปรปิโอเนต (Beclomethasone dipropionate), บูเดโซไนด์ (Budesonide), ฟลูนิโซไลด์ (Flunisolide), ฟลูติคาโซน (Fluticasone), ไตรแอมซิโนโลนอะเซโทไนด์ (Triamcinolone acetonide) เป็นต้น ซึ่งมักใช้แบบเดี่ยว ๆ ในการรักษาขั้นที่ 2 และ 3 หรือใช้ร่วมกับยาอื่นในการรักษาขั้นที่ 3-5 ยาสูดสเตียรอยด์นี้ถือเป็นยาที่มีความปลอดภัย เพราะขนาดยาที่ใช้จะต่ำมาก ไม่เหมือนกับยาสเตียรอยด์ชนิดกินซึ่งจะมีผลข้างเคียงมาก (ผลข้างเคียงของยาสูดที่อาจพบได้ เช่น เสียงแหบและมีฝ้าขาวในปากจากเชื้อรา ซึ่งป้องกันได้ด้วยการบ้วนปากทุกครั้งหลังสูดยาด้วยน้ำประปาที่สะอาดหรือน้ำเกลือที่มีขายตามร้านขายยาทั่วไป หรือใช้ยาบ้วมปากตามคำแนะนำของแพทย์)
-
-
- ยากระตุ้นเบต้า 2 (Beta 2 Agonists) ชนิดออกฤทธิ์นาน เช่น ยาสูดฟอร์โมเทอรอล (Formoterol) หรือซาลเมเทอรอล (Salmeterol), ยากินแบมบิวเทอรอล (Bambuterol) เป็นต้น ซึ่งมักใช้ร่วมกับยาสูดสเตียรอยด์ในการรักษาขั้นที่ 3-5
- ยาต้านลิวโคทรีน (Leukotriene modifier antagonist) เช่น ยากินมอนเทลูคาสท์ (Montelukast) หรือซาฟิรลูคาสท์ (Zafirlukast) เป็นต้น โดยยานี้สามารถใช้แบบเดี่ยว ๆ ในการรักษาขั้นที่ 2 หรือใช้ร่วมกับยาอื่นในขั้นที่ 3-5 ซึ่งใช้ได้ผลดีในผู้ป่วยที่เป็นหืดจากการออกกำลังกายหรือจากยาแอสไพริน รวมทั้งในรายที่มีโรคหวัดภูมิแพ้ร่วมด้วย
- ยากินทีโอฟิลลีน (Theophyllin) ชนิดออกฤทธิ์นาน มักใช้ร่วมกับยาอื่นในการรักษาขั้นที่ 3-5
- ยากินเพรดนิโซโลน (Prednisolone) มักใช้ร่วมกับยาอื่นในการรักษาขั้นที่ 5 (ขนาด 5-10 มิลลิกรัม วันละ 1 ครั้ง โดยใช้ไปสักระยะหนึ่งจนกว่าจะดีแล้วจึงค่อยหยุดยา)
- ยาต้านไอจีอี (anti-IgE) เช่น โอมาลิซูแมบ (Omalizumab) ที่ใช้ฉีดเข้าใต้ผิวหนัง มักใช้ร่วมกับยาอื่นในการรักษาขั้นที่ 5
-
- ให้ยารักษาโรคหอบหืดตามระดับของการควบคุมโรค (ดูที่ตารางการแบ่งระดับของการควบคุมโรคด้านบน) ดังนี้
- กลุ่มควบคุมโรคได้ แพทย์จะให้การรักษาตามขั้นตอนเดิมต่อไปอย่างน้อย 3 เดือน แล้วจะค่อย ๆ ปรับลดขั้นตอนลงทีละน้อย เช่น จากขั้นที่ 3 ไป 2 และ 1 ตามลำดับ จนกว่าผู้ป่วยจะใช้การรักษาขั้นต่ำสุดที่ยังสามารถควบคุมอาการได้
- กลุ่มควบคุมโรคได้บางส่วนและกลุ่มควบคุมโรคไม่ได้ แพทย์จะปรับขั้นตอนการรักษาเพิ่มขึ้นจนกว่าจะสามารถควบคุมอาการได้ภายใน 1 เดือน หลังจากควบคุมอาการได้แล้ว แพทย์ก็จะติดตามผลการรักษาต่อไปทุก 1-3 เดือน และปรับขั้นตอนการรักษาให้เหมาะกับระดับของการควบคุมโรคซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงไปได้เรื่อย ๆ ทั้งในทางที่ดีขึ้นหรือเลวลง
- ให้การรักษาด้วยอิมมูนบำบัด (Immunotherapy) ในเด็กที่มีสาเหตุมาจากสารก่อภูมิแพ้ ซึ่งไม่สามารถหลีกสิ่งที่แพ้และอาการยังไม่ดีขึ้นหลังจากใช้ยาหรือไม่สามารถทนต่อผลข้างเคียงของยาได้ แพทย์อาจพิจารณาให้การรักษาด้วยอิมมูนบำบัด โดยการฉีดยาทดสอบว่าเด็กแพ้สารอะไร แล้วฉีดสารนั้น ๆ ทีละน้อย ๆ แต่บ่อย ๆ เพื่อลดการแพ้ ซึ่งเป็นวิธีที่ใช้ได้ผลดีในเด็ก (ส่วนในผู้ใหญ่จะได้ผลไม่ค่อยดี) แต่มีข้อเสียคือ ต้องใช้เวลาในการรักษานาน ราคาแพง และอาจมีอาการแพ้รุนแรงจนถึงขั้นเกิดภาวะช็อกจากการแพ้หรือโรคหอบหืดกำเริบรุนแรงได้ จึงจำเป็นต้องฉีดในที่ ๆ มีความพร้อมในการช่วยเหลือถ้าเกิดอาการแพ้ และหลังฉีดสารบำบัดแต่ละครั้งจะต้องเฝ้าสังเกตดูอาการอย่างน้อย 30 นาที
- ให้การรักษาโรคร่วมที่พบ เช่น หวัดภูมิแพ้ ไซนัสอักเสบ ทอนซิลอักเสบ หลอดลมอักเสบ ปอดอักเสบ โรคกรดไหลย้อน ฯลฯ (ผู้ป่วยโรคหืดประมาณ 60-70% จะมีโรคภูมิแพ้ร่วมด้วย ซึ่งถ้าไม่รักษาไปด้วยก็จะทำให้การรักษาโรคหอบหืดนั้นได้ผลไม่ดีเท่าที่ควร
- ให้ผู้ป่วยติดตามผลการรักษาอย่างต่อเนื่องและทำการตรวจสมรรถภาพปอดเป็นระยะ ซึ่งในผู้ป่วยที่เป็นโรคหืดรุนแรง แพทย์จะให้ผู้ป่วยใช้เครื่องวัดความเร็วสูงสุดของลมที่เป่าออกหรือพีคโฟลว์มิเตอร์มาใช้ตรวจเองที่บ้าน (เพื่อวัดค่า PEFR) เพื่อใช้ในการประเมินความรุนแรงของโรคและจะได้ปรับยาให้เหมาะสมต่อไป และผู้ป่วยกลุ่มนี้ควรได้รับวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ปีละครั้งด้วย
- ยาบรรเทาอาการ (Relievers) แพทย์จะนิยมให้ยาสูดกระตุ้นเบต้า 2 ชนิดออกฤทธิ์สั้น (ยาพ่นขยายหลอดลมชนิดเบต้า 2) เช่น เวนโทลิน (Ventolin), บริคคานิล (Bricanyl) หรือเม็บติน (Meptin) ซึ่งเป็นยาที่มีผลทำให้กล้ามเนื้อเรียบในหลอดลมคลายตัว ออกฤทธิ์ขยายหลอดลมได้เร็ว และมีผลข้างเคียงน้อยกว่าชนิดกินและชนิดฉีด (ผลข้างเคียงของยากลุ่มนี้คืออาจทำให้ใจสั่นมือสั่นได้บ้าง) โดยจะให้ใช้สูดเฉพาะเมื่อมีอาการและให้ซ้ำได้เมื่ออาการกำเริบ แต่ไม่ควรเกินวันละ 3-4 ครั้ง (ในรายที่สูดไม่ได้ อาจใช้ยากินกระตุ้นเบต้า 2 ชนิดออกฤทธิ์สั้น หรือใช้ยากินทีโอฟิลลีนชนิดออกฤทธิ์สั้นแทน ส่วนยาฉีดกระตุ้นเบต้า 2 นั้นจะใช้เฉพาะเมื่อมีอาการรุนแรงเฉียบพลัน) แต่ในกรณีที่ใช้ยาสูดชนิดนี้เพียงอย่างเดียวแล้วยังไม่ได้ผลเต็มที่ แพทย์อาจให้ยาขยายหลอดลมกลุ่มแอนติโคลิเนอร์จิก (Anticholinergic) ได้แก่ ยาสูดไอพราโทรเพียมโบรไมด์ (Ipratropium bromide) แทน หรือใช้ร่วมกันเพื่อช่วยเสริมให้ควบคุมอาการได้ดีขึ้น